แชร์โพสนี้

ความแออัดยัดเยียดเรื้อรังของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในยุโรป กำลังก่อให้เกิดกระแสต่อต้านนักท่องเที่ยว

ปัญหานี้ปรากฏชัดเจนในแถบยุโรปใต้ ไล่ตั้งแต่เมืองบาร์เซโลนาของสเปน ไปจนถึงเมืองดูบรอฟนิคของโครเอเชีย ซึ่งแต่ละวันจะมีเรือสำราญเข้าเทียบท่าส่งนักท่องเที่ยวนับร้อยนับพันขึ้นฝั่ง ทำให้คนท้องถิ่นร้องเรียนให้ทางการแก้ไข เพราะการท่องเที่ยวกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพวกเขา

สถานการณ์ที่บาร์เซโลนาค่อนข้างจะรุนแรง เดือนที่ผ่านมามีการเดินขบวนประท้วง บอกว่านักท่องเที่ยวเป็นผู้บุกรุก มีข้อความขู่ยิงนักท่องเที่ยว หรือยิงพลุไฟเข้าไปในร้านอาหาร จนคนแตกตื่น ทำให้นายกรัฐมนตรีสเปน ต้องออกมาปราม โดยเตือนว่า การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจสเปนถึง 12 เปอร์เซ็นต์

ตอนนี้โรมกำลังพิจารณาจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เช่น คุมเข้มพฤติกรรมนักท่องเที่ยว และปรับคนที่ลงไปเล่น น้ำพุเทรวี่, ส่วนเมืองดูบรอฟนิก มีแผนจำกัดเรือนำเที่ยว ขณะที่เมืองบาร์เซโลนาเตรียมขึ้นภาษีการท่องเที่ยวใหม่ โดยจะเก็บภาษีนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาในเมืองไม่ถึง 12 ชั่วโมงคนละ 65 ยูโรเซนต์ ซึ่งจะกระทบต่อเรือที่นำนักท่องเที่ยวขึ้นฝั่งโดยตรง

ส่วนที่เมืองเวนิส เมื่อเดือนที่ผ่านมา มีการเดินขบวนต่อต้านนักท่องเที่ยว เพราะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพในเมือง พุ่งสูงขึ้น ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่ากินอยู่จนคนท้องถิ่นอยู่ไม่ไหวต้องย้ายออกไปอยู่เมืองอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ในเวนิส มีคนท้องถิ่น

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยุโรปใต้ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนเปลี่ยนสถานที่เที่ยวจากปัญหาความปลอดภัย หลังจากเกิดเหตุโจมตีที่ตูนิเซีย, อียิปต์ และตุรกี ทำให้ปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวสเปน พุ่งสูงขึ้น 12 เปอร์เซนต์ในครึ่งปีแรก กลายเป็น 36.4 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม หลายประเทศในยุโรปยังคงยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยว อย่างเช่น โปรตุเกส กรีซ และกรุงปารีสของฝรั่งเศส ซึ่งล่าสุด การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นกลับสู่ระดับปกติ หลังจากเผชิญกับปัญหาก่อการร้ายหลายครั้ง