แชร์โพสนี้
หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลและสภากรรมการบริหารสมาคมไปเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยตำแหน่งประมุขบอลไทยตกเป็นของ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ชนะขาดลอย ได้ไป 62 คะแนน นั้น
ล่าสุด “บิ๊กเสือ” นายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการ การกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะนายทะเบียนกลาง กล่าวว่า หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงแล้ว ถึงแม้ว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จะชนะในการเลือกตั้ง แต่ทว่าขั้นตอนยังไม่เสร็จสิ้น จากนี้ไปคณะกรรมการกลาง (NC) จะต้องส่งเอกสารหลักฐานบันทึกการประชุมใหญ่พิเศษครั้งนี้ ให้ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)ซึ่งเป็นนายทะเบียน ตรวยสอบความถูกต้องก่อนพิจารณาจดทะเบียนให้เป็นสมาคมกีฬา (แห่งประเทศไทย) ซึ่งคณะกรรมการกลาง (NC) จะมีเวลา 15 วัน นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง ซึ่งก็จะตรงกับวันที่ 26 ก.พ. โดยประมาณ หากเกิดระยะเวลาที่กำหนดแล้วคณะกรรมการกลางยังไม่ส่งเอกสารมาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร การกีฬาแห่งประเทศไทย จะถือว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ
ผู้ว่าการ กกท. ยังกล่าวต่อไปว่า ในขณะเดียวกัน กกท. ส่งทีมเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยกัน 4 ท่าน ซึ่งทีมดังกล่าวจะต้องทำบันทึกรายงานถึงตนภายใน 7 และจะนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย ทว่าในเบื้องต้อนจากการพูดคุยเป็นการส่วนตัวยังไม่พบการกระทำผิดแต่อย่างใด ทั้งนี้หากสมโมสรสมาชิกที่มีสิทธิ์ลงคะแนน เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ผิดระเบียบข้อบังคับ ตาม พรบ. กกท. ฉบับปี 2558 เปิดโอกาสให้ยื่นฟ้องต่อนายทะเบียนได้ โดยจะต้องมีสโมสรสมาชิกสนับสนุน 1 ใน 10 ของจำนวนทั้งหมด และ คณะกรรมการบริหารสมาคมที่มีสิทธิ์ ลงคะแนน อีก 1 ใน 3 จึงจะสามารถทำได้ และจะต้องยื่นภายใน 15 วันนี้เช่นกัน
“ส่วนกรณีที่นายภาคิน จินาภักดิ์ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของสมาคมฟุตบอลฯ ได้ยื่นหนังสือขอให้พิจารณาการทำหน้าที่ของคณะกรรมการกลางที่ฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับของสมาคมฯ นั้นจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดเช่นกัน คาดว่าจะได้คำตอบภายในวันจันทร์นี้ ( 15 ก.พ. ) ซึ่งในส่วนของ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของสมาคมฟุตบอลฯ นั้นไม่เข้าข่ายกรณีที่ยกตัวอย่างมา จึงไม่จำเป็นต้องใช้กรอบเวลาตามที่กำหนด”
นายสกล วรรณพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การมาของผู้แทน ฟีฟ่า,เอเอฟซี และเอเอฟเอฟนั้นถือเป็นการใส่ใจในครอบครัว และได้มีการพูดคุยกับตนบ้าง ฟีฟ่าและตนจึงเข้าในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดี ทั้งนี้หากมติฟีฟ่าออกมารับรองการประชุมใหญ่พิเศษดังกล่าว ไม่จำเป็นที กกท.จะต้องเห็นด้วย เนื่องจากเป็นคนละส่วน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาทั้งฟีฟ่า และกกท. ยังไม่มีความเห็นที่แย้งกัน