แชร์โพสนี้
สัปดาห์นี้ เรามาอยู่ที่เมืองทางตอนปลายของแม่น้ำแยงซีที่มีชื่อว่า ‘ซูโจว’ ประเทศจีน เมืองโบราณที่มีความสวยงามและมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 2,500 ปี ได้รับการขนานนามว่า ‘เมืองแห่งสาวงาม’ และเคยเป็นเมืองศูนย์กลางด้านพาณิชย์ที่สำคัญของประเทศในอดีต ด้วยสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าและวัฒนธรรมดั้งเดิม มีทั้งสวนที่มีเอกลักษณ์ รวมไปถึงคลองที่ความสวยงาม ทำให้เมืองแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2540
เริ่มต้นกันที่ เขาหู่ชิว (虎丘) หรือ เขาเนินเสือ จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมืองซูโจว มีความสวยงามทางธรรมชาติ และเป็นแหล่งประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า ตามตำนานเล่าว่า ในวันฝังพระศพของกษัตริย์เหอหลู่แห่งแคว้นอู๋ มีเสือขาวหมอบลงบนที่ฝังศพ อันเป็นที่มาของชื่อ เขาหู่ชิว ในปัจจุบัน
เนินเขาแห่งนี้มีความสูงเพียง 36 เมตร และมีจุดเด่น คือ เจดีย์หู่ชิวพันปี (虎丘塔) หรือเรียกว่า หอเอนแห่งประเทศจีน (Leaning Tower of China) เพราะตัวเจดีย์มีลักษณะเป็นหอเอนคล้ายหอปิซาที่อิตาลี ตัวหอมีความสูง 47 เมตร และเป็นรูปแปดเหลี่ยม มีจำนวน 7 ชั้น
ก่อนจะไปชมวิวสวย ๆ บนยอดเขา ก็มาแวะสักการะที่ศาลเจ้ากันก่อน ตรงบันไดทางขึ้นจะเห็นรูปปั้นสิงโตอยู่ทั้งสองข้างทาง โดยตัวที่ใต้ฝ่าเท้าเหยียบลูกสิงโตไว้จะเป็นเพศเมีย และตัวที่ใต้ฝ่าเท้าเป็นหิน จะเป็นเพศผู้
ภายในศาลเจ้าเป็นที่ประดิษฐานเหล่าเทพต่าง ๆ มากมาย รวมถึงแท่นบูชาโบราณ
เดินออกมาภายนอก จะพบฐานรองกระถางธูปโบราณที่มีอายุมากกว่าพันปี!
เดินขึ้นเขามาเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงที่ตั้งของ เจดีย์หู่ชิวพันปี สวยงามและอลังการสมคำร่ำลือมาก ๆ
เมื่อเดินลงเนินเขา จะมาถึงจุดที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่โยนดาบสามพันเล่ม และตามตำนานเล่าว่า หลังการสวรรคตของกษัตริย์เหอหลู่ พระองค์ได้มีพระราชโองการรับสั่งให้ประหารช่างดาบทุกคน เพราะจะได้ไม่ตีดาบให้ผู้ใดอีก เพื่อป้องกันไม่เกิดสงครามในภายหลังนั่นเอง
จากนั้นไปล่องเรือชมวิถีชีวิตและบรรยากาศของเมืองเก่า ณ หมู่บ้านถงลี่ (同里) หมู่บ้านที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำทั้งสี่ทิศซึ่งในหมู่บ้านนี้มีคูน้ำและคลองถึง 15 สาย จึงแบ่งหมู่บ้านออกเป็น 7 เกาะ สองข้างทางมีร้านอาหารนั่งชิล ประดับโคมสีแดงไว้ตลอดทาง ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่น
แต่ละสะพานมีชื่อด้วย อย่างเช่น สะพานแห่งความสุข สะพานอายุยืน สะพานแห่งความสงบ ผู้คนที่นี่มักล่องเรือลอดสะพานหรือเดินข้ามสะพาน เพื่อเป็นสิริมงคลและความสุขในชีวิต
บรรยากาศระหว่างนั่งเรือ จะมองเห็นตึกเก่าบ้านเรือนสลับกับตึกสมัยใหม่ผสมกันไป รวมถึงการใช้ชีวิตของคนบนท้องถนน
ขึ้นฝั่งมาเดินบนถนนที่มีร้านค้าขายของนานาชนิดเรียงรายไปตามทางเดิน แต่ที่พลาดไม่ได้ คือ ไส้เป็ดเสียบไม้ หากกินเสร็จแล้ว สามารถเสียบไม้ทิ้งไว้หน้าร้านได้เลย
แล้วแวะมาเติมท้องให้อิ่มกันที่ร้าน หนาน หยวน ฉา เช่อ (南园茶社) ภัตตราคารจีนโบราณ ให้บรรยากาศเหมือนโรงเตี๊ยมในหนังจีนเลยทีเดียว คลาสสิคสุด ๆ
ภายในร้านมีชามากกว่า 40 ชนิด และจัดแสดงอุปกรณ์ชงชาโบราณอีกด้วย
ยังมีเสียงเพลงบรรเลงแบบจีนแท้ ๆ สร้างบรรยากาศระหว่างรับประทานอาหารด้วย
ส่วนอาหารก็เป็นอาหารจีนที่เน้นความอร่อยแบบธรรมชติ ปรุงรสไม่มาก แต่คัดสรรวัตถุดิบชั้นดี
อิ่มท้องกันแล้วก็มีแรงไปลุยต่อที่ สวนทุ่ยซือ ( 退思园) สวนสไตล์จีนโบราณที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1885 โดยเหรินหลานเซิง ข้าราชการในสำนักมณฑลอานฮุย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์กร UNESCO ไปแล้วเมื่อปี ค.ศ. 2001
ภายในสวน บรรยากาศสวยงามร่มรื่น และมีอาคารสำคัญต่าง ๆ ล้อมรอบไปด้วยสระน้ำ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ผู้คนนิยมเรียกสวนแห่งนี้ว่า สวนลอยน้ำ (The Garden Floating on Water)
ถัดมาเราจะพาไปชมวิวยามค่ำคืนที่ ประตูเมืองผาน (盘门) ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี สร้างขึ้นในยุคจั้นกั๋ว ตั้งอยู่ทาทิศตะวันตกเฉียงใต้ของคลองรอบเมืองซูโจว ในอดีตเป็นเคยประตูเมืองและประตูน้ำที่สำคัญมาก่อนด้วย
รอบบริเวณนี้ล้อมไปด้วยคลองขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาการสร้างนานถึง 20 ปี โดยมีระยะรวมทั้งสิ้นกว่า 1,800 กิโลเมตร จากปักกิ่ง ผ่านซูโจว และหางโจว
หากมาที่นี่พลาดไม่ได้กับการไปสักการะที่ เจดีย์รุ่ยกวง (瑞光塔) เจดีย์ที่สร้างขึ้นเป็นแห่งแรก ๆ ของเมืองซูโจวและสูงเป็นอันดับสอง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีผู้บริจาคไข่มุกให้ถึง 40,000 เม็ด
ปิดท้ายค่ำคืนนี้ที่ถนน ซานถังเจีย (山塘街) ถนนโบราณที่มีอายุกว่าพันปี สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นย่านการค้าและวัฒนธรรมที่มีความเจริญมากในช่วงราชวงศ์หมิงและชิง ปัจจุบันยังคงมีร้านค้าและบ้านตั้งเรียงรายเป็นแถวริมแม่น้ำซานถัง ตลอดแนวประดับประดาด้วยโคมไฟแดงสดใส สวยงามราวกับภาพเขียน สร้างมนต์เสน่ห์ยามค่ำคืนให้กับถนนเส้นนี้เป็นอย่างมาก
