แชร์โพสนี้
จากรณี นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ ถูกจับกุมในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น ในกรณีการชิงทรัพย์เป็นเพชรมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท เมื่อ 28 ธันวาคม 2559
ซึ่งต่อมานางสาวดารีวรรณ พ่อวงษ์ ภรรยาของนายพิสิษฐ์ ได้มาร้องกระทรวงยุติธรรม เพราะไม่เชื่อว่าสามีจะเป็นผู้กระทำความผิด เนื่องจากเพชรดังกล่าว ถูกขโมยไปจากร้านเพชรในกรุงเทพมหานคร แต่ตัวของนายพิสิษฐ์อยู่ที่จังหวัดนครพนมตลอด ซึ่งถูกจำคุกมาแล้ว ประมาณ 7 เดือน โดยก่อนหน้านี้ได้ยื่นประกันหลายครั้งแต่ศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เนื่องจากมูลค่าความเสียหายสูงถึง 15 ล้านบาท
ล่าสุด ศาลอาญา ธนบุรี นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญาธนบุรี เป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายพิสิษฐ์ ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่ายกฟ้องจำเลย ไม่มีเหตุให้สงสัย ตามด้วยหลักฐานที่จำเลยได้นำมาต่อสู้ ทั้งผู้เสียหายร่วมได้ให้การถึงรูปพรรณของคนร้ายที่ไม่สอดคล้อง ซึ่งระบุว่าคนร้ายขณะนั้นมีรูปร่างท้วม ผิวดำแดง ลงพุง หัวเถิก และมีแผลเป็นที่ปาก ซึ่งไม่ตรงกับลักษณะของจำเลย
อีกทั้งเบอร์โทรศัพท์ของจำเลยที่ถูกนำไปใช้ติดต่อกับผู้เสียหายนั้น ทางพนักงานสอบสวนไม่ได้นำสืบต่อและนำสืบสนับสนุนว่าเบอร์ดังกล่าวเป็นของจำเลย มีเพียงการใช้สำเนาบัตรประชาชนนำไปยื่นเปิดเบอร์ จึงไม่เพียงพอในการสนับสนุนว่าเบอร์ดังกล่าวเป็นของจำเลย และทางตำรวจที่สืบไม่ได้ตรวจลายนิ้วมือและดีเอ็นเอ จำเลยที่บ้านที่ใช้ในการซื้อขายเพชร
คุณพิสิษฐ์ เปิดเผยว่า ถูกจับตัวระหว่างนึ่งข้าวเหนียวเตรียมขาย ใส่กุญแจมือและถูกทำร้ายร่างกาย เรียกว่าเป็นสิบแปดมงกุฎ พาไปยังรีสอร์ทแห่งหนึ่ง โดยบอกว่าหากยอมบอกที่ซ่อนเพชรจะปล่อยตัวไป ซึ่งตนเองไม่รู้เรื่องจึงไม่สามารถบอกอะไรได้ ทั้งนี้ตนเองได้วีดีโอคอลกับเจ้าของเพชร เพื่อให้ดูหน้าตาดีๆ ว่าตนเองไม่ใช่โจร อีกทั้งเพชรหายที่กรุงเทพฯ แต่ตนเองอยู่ที่นครพนม แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่ถามว่า “เอาเพชรไปทำไม”
ขณะที่ คุณคมหาญ ไปสุวรรณ์ ทนายความ กระทรวงยุติธรรม ชี้แจงว่า หลังจากภรรยาผู้เสียหายไปร้องเรียน จึงได้ทำกระบวนการจับเท็จเพื่อตรวจสอบ ผลออกมาว่าพูดความจริง จึงนำไปสู่ขั้นตอนการสืบข้อเท็จจริง โดยภรรยานำหลักฐานเป็นใบรับรองแพทย์วันเกิดเหตุมาให้ ซึ่งข้อมูลชี้ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุและไม่ได้กระทำความผิด ทั้งนี้มีการตรวจสอบพบว่าเจ้าของเพชรเคยไปแจ้งความในลักษณะดังกล่าวมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งด้วย
” คุณเชื่อมั่นว่าจะจับคนร้ายตัวจริงได้หรือไม่? ”
ความคิดเห็นจากผู้ชมรายการ ระบุว่า เชื่อมั่น 36% และ ไม่ เชื่อมั่น 64%
ดีเบต (Debate) โต้เหตุผล ค้นความจริง
“ดีเบต เพราะเราเชื่อว่า เหตุผล และ ความจริง จะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น”